Wednesday, March 03, 2010

พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ร.7: ชีวประวัติของเอกสารฉบับหนึ่ง

เขียนร่วมกับ ประจักษ์ ก้องกีรติ



ข้อความการเมืองที่รู้จักกันดีที่สุดในสังคมไทยปัจจุบันมีอยู่ 2 ข้อความคือ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาสละราชย์ของรัชกาลที่ 7 ที่ว่า
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร

สำหรับผู้ที่สนใจในปฏิกิริยาแรกๆที่มีต่อข้อความที่หนึ่ง ขอแนะนำให้อ่านความเห็นของ “นายผี” (อัศนี พลจันทร) ในบทกวีขนาดยาวเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เขาแต่งเพื่อให้กำลังใจอุทธรณ์ พลกุลนักหนังสือพิมพ์ชื่อดังและญาติของเขาที่กำลังถูกจับในกรณีกบฏสันติภาพ 2495

ในที่นี้ เราจะพยายามสืบสาวให้เห็นว่า ข้อความที่สอง ที่เป็นตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาสละราชย์ของรัชกาลที่ 7 ได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันดีได้อย่างไร

ดังที่บทความเรื่อง “ร.7 สละราชย์” ข้างต้น ได้ชี้ให้เห็น, ความขัดแย้งที่ ร.7 มีต่อคณะราษฎรอันนำไปสู่การสละราชย์ในเดือนมีนาคม 2477 (2478 ตามปฏิทินปัจจุบัน) นั้น ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่คือการที่ทรงพยายามต่อรองขอเพิ่มพระราชอำนาจของพระองค์เองในระดับที่คณะราษฎรไม่อาจยอมรับได้ เดิมทีเดียว ร.7 เพียงแต่ใช้การขู่สละราชย์เป็น “อาวุธ” ต่อรองเท่านั้น แต่เมื่อขู่มากๆเข้าแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม จึงต้องทรงสละราชย์จริงๆ

อย่างไรก็ตาม ในการที่ทรงนิพนธ์พระราชหัตถเลขาสละราชย์นั้น ร.7ทรงหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงข้อเรียกร้องรูปธรรมของพระองค์ แต่ทรงหันเข้าหาหลักการประชาธิปไตยอันสูงส่งแทน (เช่น การที่รัฐบาลไม่ยอมให้พระองค์มีบทบาทในกระบวนการทางเมืองมากขึ้นกลายเป็น “คณะรัฐบาล…ไม่ยินยอม…ให้ราษฎรได้มีโอกาสออกเสียงก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการและนโยบายสำคัญอันมีผลได้เสียแก่ราษฎร” ฯลฯ) ซึ่งทำให้พระราชหัตถเลขามีศักยภาพที่จะกลายเป็นเอกสารสำหรับใช้โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาลไปทันที อันที่จริง อาจกล่าวได้ว่านั่นเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ด้วย เห็นได้จากการที่ทรงมีพระบรมราชโองการมายังรัฐบาลว่า “ขอให้ประกาศพระราชหัตถ?เลขาทรงสละราชสมบัตินั้นแก่ประชาชนให้ทราบทั่วกันด้วย” (หนังสือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถึงพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, 4 มีนาคม 2477)

นอกจากนี้ เข้าใจว่าจะได้ทรงแจกจ่ายพระราชหัตถเลขาไปยังหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆในอังกฤษเพื่อให้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ทันทีด้วย เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลที่ไปเจรจากับร.7มีโทรเลขแจ้งมายังกรุงเทพเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ว่า “ได้มีหนังสือพิมพ์ในประเทศอังกฤษบางฉะบับ เช่น หนังสือพิมพ์ Times ได้ลงข่าวมีข้อความอันไม่เป็นผลดี (Unfavourable) แก่รัฐบาลอยู่มาก ทั้งยังได้ลงข้อความในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติโดยถี่ถ้วนอีกด้วย” ทำให้คณะผู้แทนต้องแถลงแก้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์และสำนักข่าวต่างๆ

จึงไม่น่าแปลกที่รัฐบาลขณะนั้นจะพยายามควบคุมการเสนอข่าวเกี่ยวกับการสละราชสมบัติของหนังสือพิมพ์ในประเทศสยามเองอย่างเข้มงวด ให้ตีพิมพ์เฉพาะเอกสารที่รัฐบาลส่งให้เท่านั้น (ดู “เรื่องประชุมหนังสือพิมพ์” ประชาชาติรายวัน 8 มีนาคม 2477 และบทบรรณาธิการแสดงความไม่พอใจในการควบคุมข่าวนี้ของรัฐบาลใน ประชาชาติรายวัน 12 และ 14 มีนาคม 2477)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพระราชหัตถเลขาสละราชย์ทั้งฉบับนั้น รัฐบาลเพิ่งให้มีการตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 2478 (คือสองเดือนหลังการสละราชย์ เพราะขณะนั้นเริ่มปีใหม่ในเดือนเมษายน) โดยพิมพ์อยู่ในหนังสือที่รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาต่อรองระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับ ร.7 (แถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ. โรงพิมพ์ศรีกรุง, 2478) แน่นอนว่า ไม่ว่า ร.7 จะทรงร่างพระราชหัตถเลขาสละราชย์ให้ออกมาดีกับพระองค์และไม่ดีกับรัฐบาลเพียงไร แต่เมื่อนำมารวมกับเอกสารอื่นๆในกรณีนี้ ก็เป็นไปได้ที่ผู้อ่านจะเห็นว่าในความขัดแย้งนี้ ร.7ทรงเป็นฝ่ายที่เรียกร้องพระราชอำนาจให้แก่พระองค์เองอย่างไม่มีเหตุผล ศักยภาพของการเป็นเอกสารต่อต้านรัฐบาลของพระราชหัตถเลขาก็ถูก “กลบ” ไปโดยปริยาย

ในทางกลับกัน ประวัติศาสตร์ของ “พลัง” การเมืองที่เพิ่มมากขึ้นของพระราชหัตถเลขาสละราชย์ ก็คือประวัติศาสตร์ของการที่เอกสารนี้ถูกดึงให้แยกออกมาจากเอกสารอื่นๆที่เป็น “ภูมิหลัง” (backgrounds) และห้อมล้อมอยู่ในปี 2478 จนในที่สุด คือการดึงเอาเฉพาะข้อความเพียง 2-3 บรรทัด ออกมาจากตัวเอกสารทั้งฉบับ (“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”) นั่นเอง

ช่วงเวลาประมาณ 10 ปีหลังจากร.7สละราชย์และในหลวงอานันท์ซึ่งยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะขึ้นครองราชย์โดยที่ยังทรงพำนักอยู่ในต่างประเทศ เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ปกครองใหม่มีอำนาจอย่างแท้จริงขณะที่กลุ่มนิยมเจ้ามีฐานะตกต่ำทางการเมืองที่สุด อย่างไรก็ตามระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครามใหม่ๆ ที่ปรีดี พนมยงค์ได้เป็นใหญ่ทางการเมืองแทนจอมพล ป. ส่วนหนึ่งเพราะต้องการสร้างความสามัคคีเพื่อ “ต่อต้านญี่ปุ่น” ปรีดีได้จัดการหรือเปิดทางให้มีการรื้อฟื้นสถานะของพวกนิยมเจ้าขึ้นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น อภัยโทษผู้ที่ถูกขังตั้งแต่คดีกบฏบวรเดช ที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยและคืนฐานันดรศักดิ์ให้แก่ กรมขุนชัยนาท นเรนทร รวมทั้งการกราบบังคมทูลเชิญให้ในหลวงอานันท์เสด็จนิวัตพระนคร (ปรีดีเสนอให้ทรงประทับในประเทศอย่างถาวร แต่ทรงยืนยันจะกลับไปศึกษาต่อ ทรงสวรรคตก่อนเดินทางกลับเพียงไม่กี่วัน) ประกอบกับการเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองของคนอย่างม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (เพราะปรีดีเองเรียกมา) และม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ในอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น และการที่คนอย่างนายควง อภัยวงศ์แยกตัวออกไปเข้ากับพวกนี้ (เพราะผิดหวังที่ปรีดีไม่สนับสนุนให้เป็นนายกฯอีกครั้ง)

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ เริ่มมีการพูดถึงร.7 และความขัดแย้งที่ทรงมีต่อคณะราษฎรในแง่ที่เป็นผลดีต่อพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก (ก่อนหน้านี้ในปี 2482 คำพิพากษาของศาลพิเศษที่รัฐบาลตั้งขึ้น ได้กล่าวโจมตีพระองค์อย่างรุนแรง) ในปี 2489 เปรมจิตร วัชรางกูร ได้ตีพิมพ์สารคดีการเมืองชื่อ พระปกเกล้ากับชาติไทย โดยเขียนคำอุทิศว่า “ความดีของเรื่องนี้ ถ้าหากจะมีข้าพเจ้าขออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้อาภัพของชาติไทย” และคำนำว่า “แม้พระองค์จะทรงกระทำความดี จะทรงเจตนาดีต่อประเทศชาติสักเพียงใดก็ตาม แต่เหตุการณ์ทางการเมืองในสมัยนั้นและสมัยต่อมาบีบบังคับอยู่ หามีใครอาจเผยออกได้ไม่ ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติแล้ว ก็ยังมีเสียงกล่าวร้ายต่อพระองค์อยู่เสมอ” ในตัวหนังสือ เปรมจิตรยังได้โจมตีว่ารัฐบาลคณะราษฎรปกครองประเทศในลักษณะเผด็จการ บีบคั้นเสรีภาพของพลเมือง และร.7เป็นผู้ทรงขอร้องให้รัฐบาลสมัยนั้นปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาได้นำเอาพระราชหัตถเลขาสละราชย์มาตีพิมพ์ทั้งฉบับด้วย

อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่ปรีดีหรือแม้แต่จอมพลป. หรืออดีตผู้นำคณะราษฎรคนใดคนหนึ่ง ยังเป็นใหญ่ทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่า การรื้อฟื้นพระเกียรติร.7 อย่างรอบด้านเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะจะกระทบโดยตรงถึงผู้นำเหล่านี้ ต้องรอจนหลังจากสฤษดิ์ทำรัฐประหารปี 2501 และดำเนินนโยบายรื้อฟื้นสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์อย่างขนานใหญ่

หนังสือประเภทสารคดีการเมือง 2 เล่มที่ตีพิมพ์ในปี 2505 คือ ประวัติศาสตร์ไทยในระบอบประชาธิปไตย 30 ปี ของ สิริ เปรมจิตต์ และ แผ่นดินสมเด็จพระปกเกล้า ของ วิชัย ประสังสิต เป็นตัวอย่างของงานที่เขียนถึง ร.7 อย่างเชิดชูนับตั้งแต่ยุคสฤษดิ์เป็นต้นมา ทั้งคู่ได้เอาพระราชหัตถเลขาสละราชย์มาตีพิมพ์ทั้งฉบับ วิชัยได้ย้ำถึงความเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริงของพระองค์และกล่าวว่า “พระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติในเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า รัฐบาลสมัยนั้นไม่อาจอำนวยความผาสุกให้แก่ประชาชนได้สมพระหฤทัยของพระองค์” ซึ่งเป็นการอธิบายที่ตรงกับ ร.7เองในพระราชหัตถเลขาสละราชย์ เขายังได้เสนอให้รัฐบาลสมัยนั้นสร้างพระบรมราชานุสาว-รีย์ ร.7 ไว้ให้ประชาชนเคารพสักการะในฐานะที่ทรงวางรากฐานประชาธิปไตยจนประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองสืบมา

หลังการตายของสฤษดิ์ พันธมิตรระหว่างราชสำนักกับรัฐบาลทหารเริ่มแตกสลายลง (นี่เป็นกระบวนการสำคัญที่น่าจะมีการศึกษา ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจการเกิดของ “ขบวนการ 14 ตุลา”) แต่มรดกการเชิดชูสถาบันกษัตริย์ของสฤษดิ์ไม่ได้สูญหายตามไปด้วย แต่กลับ “มีชีวิตเป็นอิสระ” ของตัวเองขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น พร้อมๆกับการเริ่มกระแสความไม่พอใจรัฐบาลทหารในหมู่ปัญญาชนในเมืองในช่วงปลายทศวรรษ 2500 ต่อต้นทศวรรษ 2510 การยกย่องสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งการยกย่อง ร.7 เป็นส่วนหนึ่ง) ก็ได้เริ่มมีนัยยะของการโจมตีรัฐบาลทหารควบคู่กันไปด้วย คำที่ ร.7ทรงวิจารณ์คณะราษฎรจึงถูกยืมมาใช้เป็นคำวิจารณ์รัฐบาลทหารของปัญญาชนในสมัยนั้นไปด้วย

ในปี 2508 จงกล ไกรฤกษ์ ตีพิมพ์ ตัวตายแต่ชื่อยัง โดยมีพระยาศราภัยพิพัฒน์เขียนคำนำให้ ในคำนำนี้เองที่ข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ….โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ได้ถูกหยิบยกแยกออกมาจากตัวพระราชหัตถเลขาสละราชย์ทั้งฉบับเป็นครั้งแรก พระยาศราภัยฯเขียนว่า (การเน้นข้อความเป็นของพระยาศราภัยฯเองทั้งหมด)
ข้าพเจ้ายังต้องขอบคุณอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวด…ที่นำเอาพระราชหัตถเลขาสละราชบัลลังก์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาพิมพ์ไว้ด้วย ข้าพเจ้าอ่านหลายครั้งแล้วมีความตื้นตันและขนลุกซ่าทุกครั้ง

เมื่อทรงเห็นว่ารัฐบาลไทยในสมัยนั้นมิได้ปฏิบัติถูกต้องตามทำนองคลองธรรมประชาธิปไตย อาศัยแต่พระราชกฤดาภินิหารเป็นเครื่องกำบังหน้าบริหารราชการประเทศ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเท่านั้น จึงทรงสละราชสมบัติเสียดีกว่า ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ทรงไว้ว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ฯลฯ”

ผู้ที่ได้อ่านพระราชหัตถเลขาฉบับนี้เป็นครั้งแรก ตื้นตันและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ถึงน้ำตาไหลเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่าเวลาเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษเสียอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการคัดข้อความเพียงบางส่วนจากพระราชหัตถเลขาสละราชย์มาอ้างอิง แม้ข้อความที่คัดมาจะไม่ตรงกับข้อความที่รู้จักกันดีในภายหลัง เพราะพระยาศราภัยพิพัฒน์เอาข้อความจากหลายย่อหน้ามาเชื่อมต่อกันเอง (ประโยค “ข้าพเจ้า…แก่ราษฎรทั่วไป” ถูกพิมพ์ด้วยตัวใหญ่พิเศษ)

ทั้งพระยาศราภัยฯและจงกล ไกรฤกษ์เป็นอดีตผู้ต้องขังคดีกบฏบวรเดช งานประเภทบันทึกความทรงจำของคนเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์ก่อน 14 ตุลาไม่นาน (ที่สำคัญอีกกรณีหนึ่งคืองานของนิมิตรมงคล นวรัตน์ อดีตนักโทษคดีบวรเดชเช่นกัน) และได้รับความสนใจจากปัญญาชนรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองสมัย 2475 แต่ไม่สามารถหาความรู้ได้จากแหล่งอื่น เพราะยังไม่มีงานทางวิชาการสำเร็จรูปให้อ่านกันอย่างในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นในเวลาใกล้กันนี้ ยังเป็นช่วงเดียวกับที่ปัญญาชนรุ่นใหม่ 2 คนที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวและสภาพแวดล้อมแบบนิยมเจ้าแต่ได้รับการศึกษาฝึกฝนทางวิชาการสมัยใหม่แบบตะวันตกเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญทางสังคม: สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และ ชัยอนันต์ สมุทวณิช

สุลักษณ์แม้จะไม่ได้เขียนเรื่องร.7โดยตรง แต่งานของเขาในช่วงนี้มีลักษณะนิยมเจ้าแอนตี้คณะราษฎรอย่างชัดเจน และในปี 2511 สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ที่เขาเป็นบรรณาธิการได้ตีพิมพ์บทความของ ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา เรื่อง “พระปกเกล้าฯสละราชสมบัติ” หลังจากพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองก่อนสละราชสมบัติแล้ว ทองต่อกล่าวว่า
ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่ารัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองไม่ตรงกับหลักการของพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงสามารถยินยอมให้ผู้ใด คณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในพระนามของพระองค์ได้ ในพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติ ได้ทรงแถลงข้อความไว้ตอนหนึ่งน่าจับใจยิ่งว่า

“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

และเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า พระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่สำเร็จ และเมื่อพระองค์ไม่สามารถจะคุ้มครองประชาชนได้ต่อไปแล้ว พระองค์ก็ทรงมีน้ำพระทัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเสียสละยิ่ง ด้วยการสละราชสมบัติ เพื่อเปิดหนทางให้ผู้เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่แทนพระองค์ต่อไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้อความจากพระราชหัตถเลขาสละราชย์ปรากฏขึ้นในรูปแบบที่ที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน โดยเฉพาะเป็นการปรากฏตัวใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ซึ่งมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่ปัญญาชนสมัยนั้นก็ยิ่งมีความสำคัญอย่างมหาศาล

สามปีต่อมา ชัยอนันต์และคณะตีพิมพ์ สัตว์การเมือง ซึ่งเป็นรวมบทความทางวิชาการเกี่ยวกับการเมืองไทยตั้งแต่สมัย 2475 ถึงปีนั้น บทความในเล่มของชัยอนันต์เอง “การปูพื้นฐานการปกครองแบบประชาธิปไตยในสมัยราชาธิปไตย” นำเอาพระราชหัตถเลขาสละราชย์ทั้งฉบับมาตีพิมพ์เป็นภาคผนวก ข้อสรุปพื้นฐานของเขาที่ว่า ร.7ได้พยายามสถาปนาประชาธิปไตยแล้วอย่างค่อยเป็นเป็นไป เพราะทรงเข้าใจดีว่าราษฎรไทยยังไม่พร้อม แต่คณะราษฎรกลับมาชิงลงมือยึดอำนาจเสียก่อน (รัฐประหารไม่ใช่ปฏิวัติ) อ้างว่าเพื่อประชาธิปไตยแต่กลับใช้อำนาจเผด็จการ จึงทรงทนไม่ได้สละราชย์เพื่อประท้วงนั้น ไม่แตกต่างจากสารคดีการเมืองนิยมเจ้าทั้งหลายที่กล่าวถึงข้างต้น สิ่งที่แตกต่างออกไป (ซึ่งมีความสำคัญ) คือ เป็นครั้งแรกที่วิธีการแบบวิชาการสมัยใหม่ (methodology) เช่น การวิพากษ์หลักฐาน ถูกนำมาใช้สนับสนุนข้อสรุปแบบนี้

สัตว์การเมือง ของชัยอนันต์ เป็นจุดเริ่มต้นของงานวิชาการเกี่ยวกับ 2475 ที่มีลักษณะนิยมเจ้าแอนตี้คณะราษฎร ซึ่งครอบงำวงวิชาการสมัยใหม่ของไทย (ซึ่งโดยตัวเองเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น) ตลอดช่วงทศวรรษ 2510 ถึงต้นทศวรรษต่อมา ซึ่งรวมถึงงานของชัยอนันต์เองอีกจำนวนมากและงานของสุวดี เจริญพงศ์, สนธิ เตชานันท์, วัลย์วิภา จรูญโรจน์ และ เบนจามิน เอ แบ็ตสัน (ในภาษาอังกฤษ ฉบับภาษาไทยเพิ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อเร็วๆนี้) งานศึกษา 2475 ในแนวใหม่ที่เชียร์คณะราษฎรและปรีดี เพิ่งขึ้นมาครอบงำหลังกลางทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา

ภายใต้บรรยากาศทางภูมิปัญญาแบบนิยมเจ้าในต้นทศวรรษ 2510 เช่นนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่นักกิจกรรมนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลในขณะนั้นจะรับเอาพระราชหัตถเลขาสละราชย์มาเป็น “เสียง” ของตน จุดสุดยอดมาถึงเมื่อธีรยุทธ บุญมีกับกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญนำเอาข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” มาตีพิมพ์เป็นหน้าปกจุลสารเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่พวกเขาเดินแจกจนถูกจับในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2516 (เป็นไปได้หรือไม่ที่ธีรยุทธกับเพื่อนจะอ่านเจอและเอามาจากบทความของทองต่อ?)

ใบปลิวที่ธีรยุทธกับเพื่อนแจกพร้อมกับจุลสาร ขึ้นต้นว่า
พี่น้องประชาชนไทยที่รัก

นับตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชปณิธานอย่างแน่ชัดว่า

“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

แต่ตลอด 41 ปีที่ผ่านมา อำนาจหาได้เคยตกถึงมือประชาชนไม่ คนไทยยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพและผลประโยชน์ของตนอย่างแท้จริง การละเมิดสิทธิ เสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนยังปรากฏขึ้นทั่วๆไป อันทำความยุ่งยากเดือดร้อนอดอยากแร้นแค้นให้เกิดแก่พี่น้องชาวไทยนานัปการ
ท้ายใบปลิวคือชื่อผู้ร่วมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 100 คน

ความยิ่งใหญ่ (ทั้งในเชิงขนาดและผลสะเทือน) ของเหตุการณ์ 14 ตุลาทำให้หลายอย่างที่มีส่วนสัมพันธ์กับมันทั้งโดยตรงโดยอ้อมถูกยกระดับให้มีความสำคัญเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างถาวรทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เคยมีความหมายมากเท่าไร เช่น ถนนราชดำเนิน, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, และข้อความจากพระราชหัตถเลขาสละราชย์ อาจกล่าวได้ว่าในบรรดาผลลัพท์ทั้งหลายของ 14 ตุลา ผลลัพธ์อย่างหนึ่งซึ่งต้องถือเป็น historical irony (การประชดประชันทางประวัติศาสตร์) ก็คือการสถาปนาข้อความนี้ให้กลายเป็นสัญลักษณ์หรือคำขวัญประชาธิปไตยไป

หลังจาก 14 ตุลา การปรากฏตัวของข้อความดังกล่าวก็เป็นเพียงการยืนยันหรือสร้างความมั่นคงให้กับความเป็นสัญลักษณ์นี้ เช่น แม้แต่ใน วารสารอมธ.ฉบับพิเศษ 14 ตุลาคม วันมหาปิติ ปี 2517 (ซึ่งได้รับอิทธิพล พคท.!) หรือในเดือนมกราคม 2518 เมื่อกรมไปรษณีย์โทรเลข พิมพ์แสตมป์ชุด 14 ตุลาคมรำลึก ออกจำหน่ายซึ่งมีอยู่ 4 รูป คือ แสตมป์ 75 สต. เป็นรูปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, 2 บาท และ 2.75 บาทเป็นภาพปั้นนูนที่เป็นส่วนล่างของปีกอนุสาวรีย์, และแสตมป์ 5 บาทเป็นภาพพานรัฐธรรมนูญและมีข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” พิมพ์ซ้อนทับลงไป

วันที่ 10 ธันวาคม 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระปกเกล้าที่หน้ารัฐสภา ซึ่งเป็นพระบรมรูปขนาดหนึ่งเท่าครึ่งพระองค์จริงในฉลองพระองค์และบนพระนั่งแบบเดียวกับที่ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญในปี 2475 ทุกประการ ที่ฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์คือข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” โดยไม่มีพระราชประวัติจารึกไว้เลย ต่างจากพระบรมราชานุสาวรีย์อื่นๆ

พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 นี้เป็นผลมาจาก 14 ตุลาอย่างชัดเจนเพราะเมื่อมีการเสนอให้สร้างครั้งแรกในปี 2512 คณะรัฐมนตรีสมัยนั้นไม่เคยนำเรื่องเข้าพิจารณาเลย จนในเดือนมกราคม 2517 สมาชิกสภานิติบัญญัติที่เกิดขึ้นจาก 14 ตุลา (ที่รู้จักกันในนาม “สภาสนามม้า”) จำนวนหนึ่งได้เสนอให้สร้างอีก และรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ (ที่มาจาก 14 ตุลาเช่นกัน) ลงมติเห็นชอบและให้สำนักเลขาธิการรัฐสภาเป็นเจ้าของเรื่องดำเนินการจนสำเร็จมีพระราชพิธีเปิดได้ในสมัยรัฐบาลเปรม

หลังจากนี้แล้วข้อความจากพระราชหัตถเลขาสละราชย์ดังกล่าวได้ถูกนำไปอ้างอิงอย่างแพร่หลายในงานเขียนต่างๆจำนวนมากจนไม่สามารถ (และไม่จำเป็น) ที่จะรวบรวมมาไว้ในที่นี้ได้หมด ข้างล่างเป็นเพียงบางตัวอย่างที่สำคัญ:

ในหนังสือ อนุสสติ 60 ปีประชาธิปไตย ซึ่งพิมพ์ขึ้นในวาระครบรอบ 60 ปีของการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 และบังเอิญเป็นช่วงที่สังคมไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์ 17 พฤษภาคม 2535 ได้เพียงเดือนเดียว ความพยายามที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเข้ากับประวัติศาสตร์กว่าครึ่งศตวรรษที่แล้วเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ผู้จัดพิมพ์ได้อัญเชิญพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 มาพิมพ์ไว้เป็น “อนุสสติ” ในหน้าแรกๆของหนังสือ. แต่แทนที่จะมีข้อความของคณะราษฎรที่เป็นผู้เริ่มต้น “60 ปีประชาธิปไตย”, ในหน้าแรกก่อนพระราชกระแสของ 2 พระองค์ดังกล่าวกลับเป็นข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…” จากพระราชหัตถเลขาสละราชย์ของ ร.7

ห้าปีต่อมา ในหน้า 2 ของ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับประชาชน ที่สภาร่างรัฐธรรมนูญตีพิมพ์แจกจ่าย มีภาพ ร.7 กำลังพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เหนือภาพเขียนว่า “2475 ราชประชาสมาสัย” ใต้ภาพคือข้อความ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ…” เช่นเดียวกับการรณรงค์ “ปฏิรูปการเมือง” โดยทั่วไป, ไม่มีการอ้างอิงถึงคณะราษฎรแต่อย่างใด

แน่นอนว่า ถึงตอนนี้ข้อความดังกล่าวได้ถูกแยกออกจากพระราชหัตถเลขาสละราชย์ซึ่งโดยตัวเองก็ถูกแยกออกจากข้อเท็จจริงของการต่อรองขอเพิ่มอำนาจที่ ร.7 ทำต่อรัฐบาลคณะราษฎรในปี 2477 โดยสิ้นเชิงแล้ว เราจึงพบว่า ในปี 2538 เมื่อนักวิชาการคนหนึ่ง (ธีรภัทร เสรีรังสรรค์) ไปสัมภาษณ์ท่านผู้หญิงพูนสุข พนมยงค์ว่า “แล้วที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯมีข้อเขียนที่เกี่ยวกับทรงสละราชสมบัติที่ว่า พระองค์ท่านยินดีที่มอบอำนาจให้กับประชาชนใช่ไหมครับ มิได้ให้แก่คณะใด บุคคลใด ทางคณะราษฎรหรืออาจารย์ปรีดี ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?” ท่านผู้หญิงก็สามารถตอบด้วยความจริงใจอย่างยิ่งว่า “ก็เห็นด้วยนะคะ ยังเอาหลักนี้มาใช้” (!?) หรือในเดือนพฤษภาคม 2543 ในระหว่างงานฉลอง 100 ปีปรีดี พนมยงค์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรายการอ่านบทกวีสดุดีปรีดี พนมยงค์ โดยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มีการฉายสไลด์ประกอบ หนึ่งในภาพสไลด์ก็คือข้อความที่เขียนขึ้นเพื่อโจมตีปรีดีกับคณะนั่นเอง: “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม….”!

ร.7 สละราชย์: ราชสำนัก, การแอนตี้คอมมิวนิสม์ และ 14 ตุลา



วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (ตามปฏิทินเก่า คือปี 2478 ตามปฏิทินปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ที่เจ็ดแห่งราชวงศ์จักรีได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชหัตถเลขาประกาศสละราชสมบัติ จากบ้านพักในประเทศอังกฤษที่ทรงลี้ภัยพระองค์เองไปพำนักในขณะนั้น การสละราชสมบัตินับเป็นเหตุการณ์สุดท้ายในห่วงโซ่ของเหตุการณ์ในวิกฤตทางการเมืองที่เริ่มต้นเมื่อสองปีก่อนหน้านั้นอันเนื่องจากการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)

พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติซึ่งมีความยาวเพียงไม่กี่หน้านั้นเอง ได้กลายเป็นเอกสารคลาสสิกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ชิ้นหนึ่ง ข้อความ 3-4 บรรทัดในตอนท้ายของพระราชหัตถเลขาที่ว่า “ข้าพ¬เจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ได้กลายมาเป็นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อันที่จริง เราสามารถกล่าวได้ว่านี่เป็นหนึ่งในสองข้อความการเมืองที่รู้จักกันดีที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ (อีกหนึ่งคือ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”)

พลังทางการเมืองของข้อความนี้ได้ถึงจุดสุดยอดในอีก 38 ปีให้หลัง ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2516 เมื่อนักเคลื่อนไหวการเมืองที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” นำโดยธีรยุทธ บุญมี ได้เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญไปตามท้องถนนในกรุงเทพ ที่หน้าปกของจุลสารเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่พวกเขาเดินแจกไปด้วย คือข้อความนี้ ตีพิมพ์อย่างเด่นชัดด้วยตัวอักษรสีขาว บนพื้นสีดำ ด้วยลายเส้นเลียนแบบลายมือ “โบราณ” เน้นย้ำการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและสถาบันแบบจารีต

โดยการทำเช่นนี้ “สาร” ที่ธีรยุทธกับพวก “สื่อ” ออกไปโดยไม่มีการประกาศคือ บัดนี้พวกเขาจะขอทวงเอาสิ่งที่มีคนแย่งชิงไปจากพระมหากษัตริย์อย่างไม่ชอบธรรม - อย่าง “ชิงสุกก่อนห่าม” ตามที่ปัญญาชนจำนวนมากสมัยนั้นมอง การปฏิวัติ 2475 - คืนมา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ผู้ที่พวกเขากำลังทวง - รัฐบาลทหารในปี 2516 - ก็คือผู้สืบทอดการแย่งชิงนั้น คือ “ลูกหลาน” ของผู้ก่อการ 2475 หรือในทางกลับกัน ผู้ก่อการ 2475 ก็คือ “บรรพบุรุษ” ของรัฐบาลทหาร 2516 (ในทางเทคนิค คำว่า “ทรราช” ที่ใช้เรียกผู้นำรัฐบาลในสมัยนั้น – ผมกำลังพูดถึงคำไทยไม่ใช่ tyrant - มีคำแปลที่เป็นด้านกลับของคำว่า “มหาราช” พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ประเสริฐ ในระหว่างการเดินขบวน 14 ตุลามีบางคนไปเขียนข้อความใต้พระบรมฉายาลักษณ์ที่ถูกอัญเชิญมานำหน้าขบวนว่า “ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปราบทรราช”)

ในความหมายหนึ่ง เหตุการณ์ 14 ตุลา คือการที่ “ราษฎร” โดยการนำของนักศึกษาไปชิงเอาพระราชอำนาจนั้นมา “ถวายคืน” ได้สำเร็จ เพราะหลังเหตุการณ์ ทั้งนายกรัฐมนตรี (นายสัญญา ธรรมศักดิ์) คณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติ (“สภาสนามม้า”) ล้วนแต่เป็นสิ่ง “พระราชทาน” – อำนาจในการแต่งตั้งเสนาบดีทั้งปวงที่เป็นของพระมหากษัตริย์ “อยู่แต่เดิม” ได้กลับเป็นของพระมหากษัตริย์โดยแท้จริงอีกเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2475 (และจะเป็นครั้งเดียวเท่านั้น แม้แต่ 6 ตุลา 2519 ก็ไม่ใช่)

ในความเป็นจริง การสละราชย์ของร.7 ที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษา 14 ตุลาต่อสู้กับรัฐบาลทหารนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยแต่อย่างใด ไม่แม้แต่ในความหมายแคบที่เป็นการแอนตี้เผด็จการทหารด้วยซ้ำ เหตุการณ์นี้, ดังที่ได้กล่าวข้างต้น, ต้องนับเป็นเหตุการณ์สุดท้ายของบรรดาเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาจากการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของปรีดีในปี 2476

แผนเศรษฐกิจของปรีดีนั้นไม่ได้มีลักษณะเป็นมาร์กซิสต์/คอมมิวนิสต์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแผนดังกล่าว ไม่ “ซ้าย” หรือไม่ “รุนแรง” แบบที่พวกมาร์กซิสต์/คอมมิวนิสต์เป็นที่รู้จักกัน ในทางตรงกันข้าม ด้วยเหตุที่ไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์/คอมมิวนิสต์นี่เอง ที่แผนของปรีดีมีความ “ซ้าย” และ “รุนแรง” เป็นพิเศษ นั่นคือ การเสนอให้บังคับชาวนารวมหมู่ (forced collectivization) และยกเลิกกรรมสิทธิ์เอกชนในที่ดินของพวกเขาทั้งหมด ซึ่งไม่มีมาร์กซิสต์/คอมมิวนิสต์ที่ไหนในโลกขณะนั้นเสนอกัน นี่เป็นเรื่องกลับตาลปัตรอย่างหนึ่งของวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นจากแผนเศรษฐกิจของปรีดี เรื่องกลับตาลปัตรที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ แม้เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีจะไม่ใช่มาร์กซิสต์ แต่ผลสะเทือนที่เกิดจากการเสนอเค้าโครงฯกลับมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการของลัทธิคอมมิวนิสม์ไทย. ในความเป็นจริง นี่คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของขบวนการแอนตี้คอมมิวนิสต์ของประเทศสยาม ขณะที่คอมมิวนิสต์ “ตัวจริง” คือบรรดาสหายชาวจีนและเวียดนามได้ปฏิบัติงานในประเทศนี้เป็นเวลาหลายปีก่อนหน้าเค้าโครงฯ พวกเขาอยู่ในสถานะ “ชายขอบ” ของการเมืองกระแสหลักมากเกินกว่าที่จะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้อย่างเฉียบขาดจากอำนาจรัฐ ซึ่งมักถือว่าพวกเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาชนกลุ่มน้อย เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีไม่เพียงนำมาซึ่ง “พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์” – ฉบับแรกของกฎหมายแบบเดียวกันอีกหลายฉบับ – แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมทางการเมืองบางอย่างที่จะกลายเป็นแบบฉบับของการรณรงค์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ตลอดระยะครึ่งศตวรรษต่อมา.

ประการแรกที่สุดคือ บทบาทที่โดดเด่นของราชสำนัก (พระมหากษัตริย์, สมาชิกในพระราชวงศ์ และผู้ใกล้ชิด) แม้ว่าฝ่ายต่อต้านเค้าโครงการของปรีดี หรือ “คอมมิวนิสม์” จะมาจากหลายส่วน แต่ราชสำนักคือส่วนที่มีบทบาทแข็งขันที่สุด. นี่เป็นความจริงนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงต้นทศวรรษ 1980 อันเป็นยุคสิ้นสุดของขบวนการคอมมิวนิสต์ในไทย. ยิ่งกว่านั้น การแอนตี้คอมมิวนิสต์ของราชสำนัก โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ จะมีลักษณะเด่นที่คงเส้นคงวาและไม่หยุดหย่อนมากกว่า. การคัดค้านเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีโดยพระยาทรงสุรเดช และการรณรงค์ต่อต้านคอมมิวนิสม์ของจอมพลป.และสฤษดิ์ในเวลาต่อมามัก “ปะปน” อยู่กับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพวกเขากับกลุ่มปกครองอื่น (พระยาทรงฯกับปรีดีและหลวงพิบูล, จอมพลป.กับปรีดี, สฤษดิ์กับจอมพลป.) ซึ่งบางครั้งถึงกับนำไปสู่การที่สองคนหลัง (จอมพลป.กับสฤษดิ์) หันมา “จีบ” คอมมิวนิสต์เสียเองด้วยซ้ำ. พระมหากษัตริย์ (พระปกเกล้าฯและรัชกาลปัจจุบัน) และบรรดาผู้ใกล้ชิด, อาจเพราะความที่ “อยู่เหนือการเมือง” ของพระองค์, มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะ “เป็นตัวตน” (embodiment) ของอุดมการณ์หลักที่แอนตี้คอมมิวนิสม์แบบบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่น “เจือปน” มากกว่า

ประการที่สอง ในระหว่างวิกฤตการณ์เค้าโครงการเศรษฐกิจ แม้ว่าปรีดีจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลากเส้นแบ่งระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “คอมมิวนิสม์” และยืนกรานว่าเขาเสนอสิ่งแรกไม่ใช่สิ่งหลัง ในสายตาของราชสำนัก ไม่มีความแตกต่างระหว่างทั้งสอง เกือบสี่สิบปีต่อมา เสนีย์ ปราโมช นักการเมืองนิยมเจ้าคนสำคัญกล่าวว่า “เราไม่เคยเลิกสงสัยได้เลยว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์” (Jayanta Kumar Rey, ed., Portraits of Thai Politics, 1972, p. 171) ฝ่ายซ้ายหลังจากปรีดีจำนวนมากก็พยายามยืนยันแบบเดียวกันและไร้ผล คำขวัญอันอื้อฉาวของฝ่ายขวากลางทศวรรษ 1970 ที่ว่า “สังคมนิยมทุกชนิดคือคอมมิวนิสต์นั่นเอง” มีต้นตำรับจาก “พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ” ของพระปกเกล้าฯนั่นเอง

ประการสุดท้าย สำหรับราชสำนัก “คอมมิวนิสม์” เป็นอันตรายไม่ใช่ต่อรัฐธรรมนูญหรือรัฐสภา (ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่อ “ประชาธิปไตย”) มากเท่ากับต่อการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์เอง อันตรายของคอมมิวนิสต์เท่ากับอันตรายของสาธารณรัฐนิยม (republicanism) เพราะหลัง 2475 เป็นที่ชัดเจนว่าไม่มีกลุ่มการเมืองอื่นใดที่จะเสนอให้เลิกล้มสถาบันพระกษัตริย์ นับจากนี้ ข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กับข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์จะเดินคู่ไปด้วยกัน จนบรรลุจุดสุดยอดในกรณีนองเลือด 6 ตุลาคม 2519

ความกลัวคอมมิวนิสม์-สาธารณรัฐนิยมของราชสำนักที่ควบคู่กันไปนี้ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในจดหมายและบันทึกส่วนพระองค์ที่พระปกเกล้าฯทรงมีถึงนายเจมส์ แบ๊กซเตอร์ ที่ปรึกษารัฐบาลไทยด้านการคลังชาวอังกฤษในต้นเดือนสิงหาคม 2476 นี่เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาที่ขึ้นมามีอำนาจหลังจากรัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476 ไล่พระยามโนปกรณ์กับพวกออกไปแล้ว กำลังพยายามขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำนายปรีดี พนมยงค์กลับประเทศ (ปรีดีถูกพระยามโนฯบีบให้ออกนอกประเทศหลังเกิดวิกฤติเค้าโครงการเศรษฐกิจตอนต้นปี) และรับตำแหน่งในรัฐบาลอีก ในทางเปิดเผย พระปกเกล้าฯทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตทั้งสองกรณี แต่ในจดหมายถึงแบ๊กซเตอร์ ทรงแสดงความเชื่อว่าปรีดีต้องการให้สยามกลายเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยม…โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” และกำลังวางแผนที่จะทำลายพระราชวงศ์และหลอกล่อให้พระองค์เองสละราชสมบัติ ในทัศนะของพระองค์ สมาชิกสายพลเรือนของคณะราษฎรยกย่องบูชาปรีดีอย่างหลับหูหลับตา “ชนชั้นที่ตื่นตัวทางการเมืองชนชั้นเดียวของสยามโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสม์”, ทรงกล่าวกับแบ๊กซเตอร์. ขณะที่กองทัพแม้ว่าจะจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ก็ขาดหลักการและผู้นำที่เข้มแข็ง ปรีดีจึงเป็นผู้ควบคุมในทางเป็นจริงและใช้พระยาพหลฯบังหน้า ทรงแสดงความผิดหวังที่บรรดา “ผู้นิยมระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” (constitutional monarchists) ไม่ยอมทำอะไร พวกเขาพึงพอใจกับการปล่อยให้เป็นภาระของพระองค์และการแทรกแซงของต่างชาติที่จะ “ปกป้องประเทศจากคอมมิวนิสม์” แต่ทรงตั้งข้อสังเกตว่า “ภัยอันแท้จริงของคอมมิวนิสม์อาจจะผลักดันให้คนพวกนี้ลงมือทำอะไรบางอย่าง ซึ่งบางทีคงจะสายเกินไป”

อันที่จริง การตระเตรียมกบฏด้วยอาวุธกำลังดำเนินไปในขณะนั้นจริงๆ หลวงโหมรอนรานอดีตนายทหารมณฑลทหารบกที่หนึ่งในช่วงก่อน 2475 - เขากำลังตามเสด็จอยู่ที่พระราชวังไกลกังวลในวันที่ 24 มิถุนา - และหนึ่งในผู้วางแผนกบฏ เล่าในภายหลังว่า ถึงเดือนกันยายน 2476 การเตรียมการกบฏ “ได้รวบรัดเข้าไปมากแล้ว” (ดู หลวงโหมรอนราน, เมื่อข้าพเจ้าก่อการกบฏ, 2492, น. 62) เพียง 11 วันหลังจากปรีดีเดินทางกลับสยามการกบฏก็เริ่มขึ้น (11 ตุลาคม 2476) นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชอดีตเสนาบดีกลาโหม (พ.ศ. 2471-2474) ทหารหัวเมืองจำนวนหนึ่งเดินทัพเข้ากรุงเทพ. ประโยคแรกสุดของคำขาดที่ฝ่ายกบฏยื่นต่อรัฐบาลเผยให้เห็นความกลัวคอมมิวนิสม์-สาธารณรัฐนิยมของพวกเขา: “รัฐบาลนี้ได้ปล่อยให้คนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและนำหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับมาดำเนินนโยบายคอมมิวนิสต์” (รวบรวมคำแถลงการณ์และประกาศต่างๆซึ่งรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศแก่ข้าราชการฝ่ายทหาร, พลเรือนและราษฎรทั่วไป. โรงพิมพ์ศรีกรุง, 2476, น. 12) เช่นเดียวกัน ข้อเรียกร้องข้อแรกใน 6 ข้อของคำขาดฉบับที่สอง เรียกร้องให้รัฐบาลทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้สยามมีพระมหากษัตริย์ปกครอง “ชั่วกัลปาวสาน” (เป็นความจริงที่ว่าฝ่ายกบฏใช้คำว่า “พระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ” แต่ประโยคดังกล่าวทั้งประโยคและคำขาดทั้งฉบับให้น้ำหนักกับคำแรกมากกว่าคำหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งกว่านั้น ยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายกบฏหมายถึงรัฐธรรมนูญแบบไหนถ้าพวกเขายึดอำนาจสำเร็จ หลวงโหมรอนราญเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า “จะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เหมาะสม และถวายพระราชอำนาจแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” (หลวงโหมรอนราญ, น. 61-2) การกบฏถูกปราบปรามพ่ายแพ้โดยทหารรัฐบาลที่นำโดยหลวงพิบูลสงคราม

สามเดือนต่อมา พระปกเกล้าฯเสด็จออกนอกประเทศ สุดท้ายไปพำนักที่อังกฤษ โดยที่ยังทรงวิตกกังวลเรื่องภัยคอมมิวนิสม์-สาธารณรัฐนิยมต่อไป ปลายปี 2477 ทรงเริ่มใช้สิ่งที่ทรงบรรยายต่อเจมส์ แบ๊กซเตอร์ว่าเป็น “อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด” ของพระองค์ ซึ่งได้ทรง “ใช้อย่างได้ผลมาหลายครั้งแล้ว” นั่นคือ การขู่ว่าจะสละราชย์ “เพื่อให้ได้ผลจริงๆ”, ทรงกล่าวกับแบ๊กซเตอร์, พระองค์จะต้อง “สามารถหลีกไปพักในที่ซึ่งปลอดภัยบางแห่ง” ถ้าทรงขู่สละราชย์ในกรุงเทพจะ “ได้ผลไม่ถึงครึ่ง”

เมื่อได้รับคำขู่จะสละราชย์ รัฐบาลก็ส่งผู้แทนคณะหนึ่งไปเจรจากับพระปกเกล้าฯที่อังกฤษ ทรงรับสั่งกับคณะผู้แทนว่า ความขัดแย้งหลักในขณะนั้นคือ “ระหว่างพวก Socialist และ Anti-Socialist” (ดู แถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ. โรงพิมพ์ศรีกรุง, 2478, น. 34 ทรงใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ) ก่อนหน้านั้นเคยรับสั่งกับแบ๊กซเตอร์ว่า “การต่อสู้หลักคือต่อต้านคอมมิวนิสม์” ข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการที่พระองค์ระบุในพระราชบันทึก 2 ฉบับแรกถึงรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวคอมมิวนิสม์-สาธารณรัฐนิยมอีกครั้ง (แถลงการณ์…ทรงสละราชสมบัติ, น. 152-3; ทรงขีดเส้นใต้เอง):
ถ้าหากจะให้ฉันดำรงตำแหน่งต่อไป ต้องขอให้
1. เลิกความระแวงสงสัย …….
2. ให้บุคคลต่างๆในรัฐบาลเลิกกล่าวร้ายทับถมการงานของพระราชวงศ์จักรี และของรัฐบาลเก่าและขอให้ปราบปรามผู้ที่ดูถูกพระราชวงศ์จักรีอย่างเข้มงวด
3. ต้องแสดงความเคารพนับถือในองค์พระมหากษัตริย์โดยชัดเจน
4. พยายามระงับความไม่สงบต่างๆ โดยตัดต้นไฟ ซึ่งฉันเห็นว่ามีอยู่ 2 อย่างดังนี้
ก. ความกลัวว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการเศรษฐกิจแบบ Socialist อย่างแรง….
ก่อนหน้านั้น ในระหว่างที่ทรงให้คณะผู้แทนเข้าเฝ้าในวันที่ 12 ธันวาคม 2477 พระปกเกล้าฯทรงแสดงความไม่พอพระทัยเกี่ยวกับข้อเสนอของปรีดีและซิม วีระไวทยะในระหว่างการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญปี 2475 ที่ให้ผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายถวายบรรดาศักดิ์คืน ทรงรับสั่งว่า “ที่เป็นมาแล้ว มีผู้ซึ่งหันทางไปในทาง Republic เป็นต้นว่าให้เลิกเหรียญตรา ซึ่งใน monarchy เขาต้องมี” (ในการอภิปรายครั้งนั้น เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2475 ปรีดีกล่าวว่าเขาได้เสนอเรื่องนี้ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆแต่ได้รับการคัดค้านอย่างมากจากพระยามโนปกรณ์ พระยามโนฯยืนยันเรื่องที่ปรีดีเล่า แล้วร่วมกับพระยาศรีวิสารวาจา อภิปรายคัดค้านข้อเสนอนี้อย่างแข็งขัน กล่าวว่าเป็นการ “กักขฬะ” แม้แต่พระยาพหลฯก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับปรีดี “เป็นการไม่ดี พระมหากษัตริย์อาจจะถือว่าเราจองหอง” ในที่สุด นายซิมซึ่งเป็นผู้เสนอญัตติอย่างเป็นทางการ ยอมถอนญัตตินั้น)

หลังจากพระราชบันทึก 2 ฉบับแรกข้างต้นแล้ว ทรงมีพระราชบันทึกถึงรัฐบาลอีก 2 ฉบับ โดยที่ทรงเปลี่ยนข้อเรียกร้องไปที่ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการที่พระองค์ทรงพยายามจะช่วงชิงป้องกันอันตรายของสาธารณรัฐนิยมล่วงหน้า (ไม่ได้ทรงพูดถึง Socialist โดยตรงอีก) บันทึกช่วยจำทั้งสองขอให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการเลือกผู้ที่จะเป็นสมาชิกแต่งตั้งของรัฐสภา ที่เรียกกันว่า “สมาชิกประเภทที่ 2” จำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาทั้งหมด และในการวีโต้กฎหมายที่ผ่านสภาแล้ว (เช่น “ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงพระราชบัญญัติฉบับใดลงมา สภาผู้แทนราษฎรเป็นอันต้องยุบไปเองในคราวเดียวกัน”) พระราชบันทึก 2 ฉบับหลังนี้ ยังพยายามให้มีการเพิ่มบทบาททางการเมืองให้ข้าราชการของระบอบเก่า (ก่อน 2475): สมาชิกประเภทที่ 2 ควรมีอายุเกิน 35 ปี และเคยมีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงในรัฐบาลมาก่อน. พวกเขาควรได้รับอนุญาตให้ตั้งพรรคการเมืองได้ ในทางกลับกัน ข้าราชการประจำของกองทัพทั้งหมดต้องเลิกเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเท่ากับเป็นการยุบเลิกรัฐบาลคณะราษฎรโดยปริยาย เพราะสมาชิกคณะราษฎรส่วนใหญ่มาจากข้าราชการประจำโดยเฉพาะจากกองทัพ เป็นธรรมดาที่ข้อเรียกร้องของพระปกเกล้าฯเหล่านี้ รัฐบาลไม่สามารถยอมรับได้ แต่ก็พยายามจะปฏิเสธไปอย่างสุภาพที่สุด

ในการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้ รัชกาลที่ 7 ทรงเปลี่ยนท่าทีทางการเมืองของพระองค์ชนิด 180 องศาอย่างชัดเจน เพราะทรงเป็นเสมือนผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญฉบับธันวาคม 2475 มาด้วยพระองค์เองในสมัยที่พระยามโนฯเป็นนายกรัฐมนตรี บัดนี้ทรงอ้างว่าความจริงทรงไม่พอพระทัยรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แต่ทรงยอมให้ผ่านไปเพื่อความรวดเร็ว ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ไม่น่าเชื่อ รัฐธรรมนูญฉบับธันวาคม 2475 ได้ฟื้นฟูพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์อย่างมาก และขอเพียงให้คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ทรงว่ากล่าวได้ พระมหากษัตริย์ก็จะทรงมีพระราชอำนาจที่เป็นจริงได้ แน่นอนว่าในขณะที่คนอย่างพระยามโนฯเป็นนายกฯ พระปกเกล้าฯย่อมไม่ทรงต้องกังวล ไม่ใช่ตัวรัฐธรรมนูญ หากแต่คือการตกจากอำนาจไปของพระยามโนฯต่างหาก ที่เป็นสาเหตุทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระทัยอย่างกะทันหัน

ยกตัวอย่างเช่น ประเด็นการมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทแต่งตั้ง ตรงข้ามกับความเข้าใจอย่างกว้างขวางในต้นทศวรรษ 1970 ว่าพระปกเกล้าฯทรงคัดค้านเชิงหลักการ ที่มีการแต่งตั้ง สส.ถึงครึ่งสภา (ซึ่งเป็นสิ่งที่คนสมัยก่อน 14 ตุลาไม่พอใจ อันเนื่องมาจากวิธีที่รัฐบาลทหารในสมัยพวกเขาเองแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐอย่างคอรัปชั่น) ในความเป็นจริง เห็นได้ชัดจากพระราชบันทึกของพระองค์ว่า สิ่งที่ทรงต้องการ ไม่ใช่การยกเลิกสส.แต่งตั้ง แต่คืออำนาจที่จะทรงแต่งตั้งคนพวกนี้เอง (นี่เป็นข้อเรียกร้องที่เหมือนกับข้อเรียกร้องในคำขาดฉบับที่สองของพระองค์เจ้าบวรเดช: “การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ต้องถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือก”) หากพระยามโนฯยังอยู่ในอำนาจ “ปัญหารัฐธรรมนูญ” แบบนี้ก็จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเลย (ดูโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชบันทึกฉบับที่ 4 ใน แถลงการณ์…ทรงสละราชสมบัติ, น. 179-80)

ประเด็นที่แสดงให้เห็นการ “เปลี่ยนพระทัย” ของร.7 อย่างชัดเจนที่สุด คือ เรื่องสิทธิตั้งพรรคการเมือง ซึ่งอีกเช่นกัน เป็นประเด็นที่คนสมัยต้นทศวรรษ 1970 รู้สึกอย่างมาก

ในเดือนมกราคม 2475 (2476 ตามปฏิทินปัจจุบัน) หลวงวิจิตรวาทการ อดีตเลขานุการสถานทูตไทยในปารีส พยายามจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ “คณะชาติ” ขึ้น เขาได้ไปปรึกษากับปรีดีและได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายหลัง ผู้นำรัฐบาลคนอื่นรวมทั้งพระยามโนฯก็สนับสนุน อย่างไรก็ตาม เมื่อพระยามโนฯนำเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯขอคำปรึกษาจากพระปกเกล้าฯ ทรงมีหนังสือถึงพระยามโนฯเมื่อวันที่ 31 มกราคม ว่า
ตามที่มีบุคคลได้ตั้งสมาคมคณะการเมือง [หมายถึงสมาคมคณะราษฎร] และขออนุญาตตั้งขึ้นอีกนั้น ข้าพเจ้ามีความวิตกเป็นอันมาก ด้วยเกรงว่าจะเป็นเหตุกระทบกระเทือนถึงความสงบสุขของประชาชน …. ประเทศสยามซึ่งพึ่งจะมีรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ยังหาถึงเวลาสมควรที่จะมีคณะการเมืองเช่นเขาไม่ ด้วยประชาชนส่วนมากยังไม่เข้าใจวิธีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญเสียเลย …. ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ในเวลานี้อย่าให้มีสมาคมการเมืองเลยจะดีกว่า แต่โดยเหตุที่บัดนี้รัฐบาลได้ยอมอนุญาตให้มีสมาคมคณะราษฎรเสียแล้ว จึ่งเป็นการยากที่จะกีดกันห้ามหวงมิให้มีคณะการเมืองขึ้นอีกคณะหนึ่งหรือหลายคณะได้ อย่างดีที่สุดข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรที่จะเลิกสมาคมคณะราษฎรและคณะอื่นทีเดียว….
พระยามโนฯจึงเรียกหลวงวิจิตรฯไปพบและขอให้เลิกล้มแผนการตั้งพรรคชาติเสีย โดยสัญญาว่าจะยุบเลิกสมาคมคณะราษฎรให้เป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งต่อมาก็ได้ทำจริงในระหว่างวิกฤตเค้าโครงการเศรษฐกิจ มีแต่ภายหลังการสิ้นอำนาจของพระยามโนฯและความพ่ายแพ้ของกบฎบวรเดชเท่านั้น ที่พระปกเกล้าฯทรงรู้สึกถึงความจำเป็นต้องอนุญาตให้ราษฎรตั้งพรรคการเมืองได้อย่างกะทันหันและทรงรวมเอาข้อเรียกร้องนี้ไว้ในพระราชบันทึกฉบับที่ 3 ของพระองค์ รัฐบาลสมัยนั้นได้ตอบด้วยการเตือนให้ทรงระลึกถึงหนังสือถึงพระยามโนฯของพระองค์เองข้างต้น ซึ่งพระปกเกล้าฯก็ทรงอธิบายตอบกลับมาดังนี้ (ขอให้สังเกตวิธีที่ทรงบิดผันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุผลก่อนหน้านั้นของพระองค์)
ข้าพเจ้าชอบที่จะให้มีคณะพรรคการเมืองขึ้น [?!] จดหมายของข้าพเจ้ามีถึงพระยามโนฯนั้น ได้เขียนไปในคราวที่รัฐบาลในครั้งนั้นไม่ยอมอนุญาตให้คณะชาติตั้งขึ้น [?!] ข้าพเจ้าจึงแนะนำไปว่า ถ้าคณะชาติไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะเลิกล้มคณะราษฎรเสียเหมือนกัน…. ณ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะอนุญาตให้คณะพรรคการเมืองจัดตั้งขึ้นโดยเปิดเผย
เป็นที่ชัดเจนว่าแรงกระตุ้นที่แท้จริงที่ทำให้พระปกเกล้าฯทรงเรียกร้องให้ตั้งพรรคการเมืองได้ในระหว่างการเจรจาเรื่องการสละราชย์นั้น ไม่ใช่หลักการประชาธิปไตยที่เป็นนามธรรมอะไร แต่เป็นความพยายามของพระองค์ที่จะเปิดเวทีการเมืองขึ้นใหม่ให้กับบรรดาผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ หลังจากพวกเขาถูกเบียดออกจากรัฐบาลแล้ว

โดยสรุป ข้อเรียกร้องทุกประเด็นของร.7 คือความพยายามต่อรองเพิ่มอำนาจให้แก่พระองค์เองและแวดวงของพระองค์ และลดหรือแยกสลายอำนาจของรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งฝ่ายหลังก็เข้าใจเรื่องนี้ดี จึงปฏิเสธไป

จดหมายส่วนพระองค์ถึงเจมส์ แบ๊กซเตอร์ ในช่วงนี้ส่อให้เห็นว่า ร.7 ทรงถือเอาการขู่สละราชย์เป็นเพียง “เครื่องมือ” หรือยุทธวิธีต่อรองอย่างหนึ่ง (“my strongest weapon”) จากหลักฐานชิ้นเดียวกัน ผมเชื่อว่าเมื่อทรงเริ่มใช้การขู่สละราชย์ครั้งหลังสุดนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงคิดจะสละราชย์จริงๆ แต่ทรงประเมินประสิทธิภาพของ “อาวุธ” นี้สูงเกินไป (“effectively used several times already”) จึงทรงผลักการต่อรองและตัวพระองค์เองไปสู่จุดอับ ทำให้ทรงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องสละราชย์จริงๆ

วันที่ 2 มีนาคม 2477 ทรงลงพระปรมาธิไธยในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติซึ่งทรงนิพนธ์ขึ้นอย่างยอดเยี่ยม. หลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงที่ว่าข้อเรียกร้องรูปธรรมและความขัดแย้งที่พระองค์ทรงมีกับรัฐบาลล้วนเกี่ยวข้องกับความพยายามเพิ่มอำนาจของราชสำนักและความหวาดกลัวคอมมิวนิสม์อย่างขาดเหตุผลไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงของพระองค์เอง, ร.7 ทรงหันเข้าหาหลักการประชาธิปไตยอันสูงส่ง. ในพระราชหัตถเลขาสละราชย์ การที่รัฐบาลไม่ยอมให้พระองค์มีบทบาทในกระบวนการเมืองมากขึ้นกลายเป็น “คณะรัฐบาล…ไม่ยินยอม…ให้ราษฎรได้มีโอกาสออกเสียงก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการและนโยบายสำคัญอันมีผลได้เสียแก่ราษฎร” และอื่นๆ. ด้วยลักษณะที่เป็นนามธรรมเช่นนี้เองที่ทำให้พระราชหัตถเลขาสละราชย์สามารถปรากฏต่อสายตาของขบวนการนักศึกษาต้นทศวรรษ 1970 ในฐานะเอกสารที่ “สอดคล้องอย่างยิ่ง” กับความเรียกร้องต้องการและสถานการณ์ของพวกเขาที่ความจริงแล้วแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง